เปิดประสบการณ์เรียนนิวซีแลนด์ กับ ชยุต ปั้นสกุลไชย

เรียนนิวซีแลนด์ : จาก Auckland Grammar School สู่ UOA Business School

แบ่งปัน

การเรียนปริญญาตรีที่ต่างประเทศสำหรับใครหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว รวมทั้งมีข้อสงสัยใคร่รู้ในเรื่องต่าง ๆ เช่น ข้อดีข้อเสียของการเรียนต่างประเทศ ค่าครองชีพ การใช้ชีวิตตามลำพัง การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและสังคมต่างแดน เป็นต้น

แต่สำหรับตัวผมเองซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาขึ้นชั้นปีที่ 3 ของ The University of Auckland (UOA) ที่นิวซีแลนด์ กลับได้พบเจอประสบการณ์ต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมายในการมาเรียนที่นี่

จาก Auckland Grammar School มุ่งสู่ Business School ที่ UOA

ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าหลังจากที่ผมเรียนจบไฮสคูล A Level (Year 13) ที่ Auckland Grammar School ในเมืองโอ๊คแลนด์ นิวซีแลนด์ ผมได้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยไปสองแห่งคือ The University of Auckland ในนิวซีแลนด์ และ Monash University ที่ออสเตรเลีย ซึ่งผมได้รับการตอบรับจากทั้งสองแห่ง ทำให้ผมจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยที่ผมคิดว่าเหมาะสมกับตัวผมมากที่สุด

ผมตัดสินใจเลือก UOA ซึ่งก็เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับ 1 ของนิวซีแลนด์ เนื่องจากผมคิดว่าผมมีประสบการณ์การเรียนไฮสคูลที่นิวซีแลนด์มาแล้วสามปี ดังนั้น ผมจึงไม่ต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อมใหม่ ผมสามารถโฟกัสไปที่การเรียนได้อย่างเต็มที่

แล้วช่วงที่ตัดสินใจนั้นตรงกับต้นปี 2020 ซึ่งขณะนั้นเริ่มมีสถานการณ์โควิด-19 ระบาดที่ออสเตรเลียแล้ว ผมจึงคิดว่าการเรียนมหาวิทยาลัยที่นิวซีแลนด์เป็นทางเลือกที่เหมาะกับตัวผมมากกว่า ส่วนเหตุผลที่ไม่เลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยในเมืองไทยนั้นเพราะว่าผมจบ Year 13 หากเรียนต่อปริญญาตรีมหาวิทยาลัยในนิวซีแลนด์ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น แต่ถ้ากลับมาเมืองไทย ผมต้องใช้เวลาเรียนอีก 4 ปี

การเข้าเรียนที่ UOA ในช่วงแรกถือว่าเป็นสิ่งใหม่ที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน เพื่อนที่รู้จักกันจากไฮสคูลล้วนแยกย้ายกันไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยต่างๆ ความโชคดีของผมคือ ในช่วงปีแรก ผมได้อยู่ในหอพักนักศึกษาของมหาลัย เป็นหอพักสร้างใหม่เอี่ยมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบครัน นักศึกษาที่อยู่หอแห่งนี้มีเฉพาะนักศึกษาปี 1 เท่านั้น  ผมจึงได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ ในชั้นปีเดียวกันมากมาย ทำให้ผมรู้สึกสบายใจ และไม่มีความรู้สึกเหงา หรือโดดเดี่ยวแต่อย่างใด

การเรียนการสอน on-line และ on-site ที่ทันสมัย

ในส่วนของการเรียนนั้น ผมเลือกเรียนด้านบริหารธุรกิจควบ 2 สาขา (Double Majors) คือ International Business และ Business Analytics การเรียนบริหารธุรกิจที่นี่จะเน้นไปที่การเข้า lecture เป็นหลัก ซึ่งการเรียนการสอนของแต่ละวิชาก็จะแตกต่างกันไป บางวิชาจะเน้นไปที่เนื้อหาจาก lecture ล้วนๆ แต่ในขณะเดียวกัน บางวิชาเน้นไปที่การทำงานกลุ่มหรือ assignments นอกเหนือจาก lecture แล้ว ยังมี class แบบอื่นๆ เช่น tutorial ที่ติวเตอร์ของแต่ละวิชาจะมาช่วยสอนเพิ่มเติมในวิชานั้น ๆ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และ workshop คือการที่ lecturer จะเข้ามาสอนพิเศษโดยเอา Case Study มาอธิบายเพิ่มเติม

การเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัยนั้นแตกต่างกับไฮสคูลค่อนข้างมาก เนื่องจากผู้เรียนมีสิทธิ์เลือกเวลาเรียน และเลือกวิชาเอง โดยวิชาที่ผู้เรียนจำเป็นต้องลงเรียนนั้นแบ่งหลักๆ เป็น 3 ประเภทคือ Prerequisite ซึ่งเป็นวิชาหลักในเมเจอร์ที่ผมเรียน ยกตัวอย่างเช่น เมเจอร์ของผมคือ International Business Prerequisite ของผมจะเป็น International Business เป็นต้น ประเภทที่สองคือ Elective หรือวิชาที่อาจจะไม่อยู่ในเมเจอร์ แต่อยู่ในคณะเดียวกับผู้เรียน โดยวิชา Elective มักจะเลือกเรียนเพื่อทำให้หน่วยกิตของเราเพียงพอต่อการเรียนจบปริญญาตรี ตัวอย่างเช่น MKTG 203 หรือ Marketing 203 เป็นวิชาเกี่ยวกับการตลาดซึ่งไม่ใช่เมเจอร์หลักของผมแต่อยู่ในคณะบริหารธุรกิจเหมือนกัน ในกรณีที่หน่วยกิตผมไม่ครบ ผมสามารถลงตัวนี้ได้ ประเภทสุดท้ายคือ General Education หรือวิชาที่อยู่นอกคณะของผู้เรียน อย่างเช่นผมเรียนคณะบริหารธุรกิจ General  Education ที่ผมลงเรียนได้ต้องเป็นวิชาที่อยู่นอกเหนือคณะบริหารธุรกิจอย่าง Communication 104g หรือ Music 144g เป็นต้น ผู้เรียนทุกคนต้องวางแผนการเรียนล่วงหน้าไปยังปีต่อๆ ไปด้วย เพราะว่าบางวิชาจำเป็นที่จะต้องบังคับให้ผู้เรียนลงตัวอื่นก่อนเรียน หรือบางวิชาจะไม่สามารถลงได้ถ้าผู้เรียนเลือกเรียนวิชาอื่นที่มีเนื้อหาคล้ายกัน

การเรียนในคณะบริหารธุรกิจของผมใช้เวลาเรียนทั้งหมด 3 ปี และจำเป็นต้องเรียนให้มีหน่วยกิตครบทั้งหมด 360 หน่วยกิต หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ปีละ 120 หน่วยกิต ซึ่งแต่ละวิชาจะนับเป็น 15 หน่วยกิต (ถ้าวิชานั้นมีระยะเวลาเรียน 1 เทอม) และจะนับเป็น 30 หน่วยกิต (ถ้าวิชานั้นมีระยะเวลาในการเรียนสองเทอม) ค่าลงทะเบียนเรียนแต่ละวิชาจะไม่เท่ากัน แต่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่วิชาละประมาณ 5,000 เหรียญฯ สำหรับนักเรียนต่างชาติ(ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน) นอกจากค่าลงทะเบียนเรียนแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นในการคิดคำนวณด้วยคือ ค่าหนังสือต่าง ๆ ซึ่งหากคิดเฉพาะค่าเรียนและอุปกรณ์ในการเรียนจะตกประมาณปีละ 39,000 เหรียญฯ (ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ขึ้นอยู่กับความมีชื่อเสียงของแต่มหาวิทยาลัยด้วย) ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าเช่าห้องพัก ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ขึ้นอยู่กับแต่ละคน  นั่นทำให้นักเรียนหลายคนเลือกที่จะทำงาน part-time ควบคู่ไปกับการเรียนด้วย เพื่อที่จะได้มีรายรับมาใช้จ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตัวผมเองก็ทำงานเป็น Food runner ในร้านอาหารที่ Auckland ด้วย

หอพักของมหาวิทยาลัยสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เท่านั้น

ความรู้สึกที่ผมมีต่อการเรียนที่ University of Auckland นั้น ถือว่าเป็นเชิงบวก เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยสนับสนุนให้นักศึกษาเข้าร่วมชมรมและกิจกรรมต่าง ๆ นอกเหนือจากการเรียนวิชาการ โดยทางมหาวิทยาลัยได้สนับสนุนชมรมต่าง ๆ ที่จัดตั้งโดยนักศึกษาด้วยการให้ funding กับชมรม ซึ่งจำนวณเงินขึ้นอยู่กับขนาดและความน่าสนใจของชมรมนั้น ๆ

ตัวผมเองเป็นสมาชิกของหลายชมรม อย่างเช่น ชมรมปิงปอง ชมรมการลงทุน ชมรมวัฒนธรรม นอกเหนือจากการเป็นสมาชิกของชมรมแล้ว ผมยังมีหน้าที่เป็น Executive Member ของ Thai Student Association โดยมีหน้าที่เป็น Event Manager ที่ต้องคิดและดูแลกิจกรรมต่าง ๆ ในชมรม ผมคิดว่าการที่มหาวิทยาลัยให้การสนับสนุนชมรมต่าง ๆ นั้น ทำให้นักศึกษาได้มีกิจกรรมทำนอกห้องเรียน และยังเพิ่ม connection ให้กับนักศึกษา ได้พบปะและเจอผู้คนหลากหลายใหม่ ๆ รวมถึงการให้บริษัทธุรกิจเอกชนที่มีชื่อเสียงเข้ามาแนะนำบริษัทและแนะแนวทางต่าง ๆ ในการหางานให้กับนักศึกษา ทำให้นักศึกษาได้รู้จักอาชีพและการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่างๆ ในอีกทางหนึ่งด้วย

UOA นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิวซีแลนด์แล้ว ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนี้อีกด้วย

บรรยากาศโดยรอบมหาวิทยาลัยนั้นถือว่าดีทีเดียว มีหลาย campus แต่ละ campus ค่อนข้างมีพื้นที่กว้างใหญ่ โดยกระจัดกระจายไปตาม Symonds Street ที่มีต้นไม้เรียงรายให้ความร่มรื่น เขียวสดชื่น สบายตา ทำให้นักศึกษาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี

สำหรับการเรียนการสอนของอาจารย์ (Lecturer) แต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันไป เนื่องจากผมเริ่มเรียนในปี 2020 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นการระบาดของโควิด-19 ทำให้การเรียนการสอนส่วนใหญ่ถูกปรับเปลี่ยนเป็นแบบออนไลน์ทั้งหมด มีทั้ง Zoom แบบ real-time และแบบอัดคลิปวิดิโอการสอนพื่อให้ผู้เรียนเข้าไปดูได้ทีหลัง อย่างไรก็ตาม lecturer ส่วนใหญ่มักจะให้ความเป็นกันเองและเปิดช่องทางการติดต่อสำหรับนักศึกษาที่มีคำถาม หรือต้องการความช่วยเหลืออยู่เสมอ นอกจากนี้ในบางวิชายังมี Zoom drop in session หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ เป็นการให้นักศึกษาถามสิ่งที่อยากรู้ หรือไม่เข้าใจจาก lecturer

ในส่วนของผู้เรียน คณะ Commerce ที่ผมเรียน มีนักศึกษาต่างชาติอยู่ค่อนข้างเยอะ ทำให้ในคลาสเรียนมีสีสัน มีความหลากหลายและแตกต่าง เวลาทำงานกลุ่ม lecturer มักจะจัดกลุ่มแบบคละกัน มีบ้างที่บางวิชาให้เลือกจัดกลุ่มกันเอง แต่ส่วนใหญ่ในกลุ่มก็มักจะมีทั้งนักศึกษากีวีและนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งวิธีนี้ทำให้กลุ่มมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน

นักศึกษาที่เรียนคณะนี้ ไม่ใช่เฉพาะชาวนิวซีแลนด์เท่านั้น

มาถึงเรื่องของ facilities ของมหาวิทยาลัยกันบ้าง

ในแต่ละ campus มีห้องสมุดอยู่อย่างน้อย 1 แห่ง บางครั้งถ้า campus ใหญ่และกว้างมากๆ อาจมีห้องสมุดให้บริการถึง 2 แห่ง นอกเหนือจากนี้ นักศึกษายังมี Study Space อื่นๆ เช่น Kate Edgar ซึ่งเป็นเหมือนห้องสมุดเงียบ และมีคอมพิวเตอร์ให้นักศึกษาสามารถใช้ได้เลย บางแห่งก็มีพรินท์เตอร์ให้ใช้สำหรับการพิมพ์งานด้วย นอกจากนี้ หากนักศึกษาต้องการใช้มหาวิทยาลัยในการทำงานล่วงเวลา สามารถขอ access นอกเหนือจากเวลาปกติได้ นอกจากนี้สิ่งอำนวยความสะดวกอย่างอื่นที่มหาวิทยาลัยมีให้คือ Career Development เพื่อให้นักศึกษารับคำปรึกษาเกี่ยวกับอาชีพ  Recreation Centre ซึ่งก็คือสถานที่ออกกำลังสำหรับนักศึกษา รวมทั้งสามารถสมัคร Gym Membership ได้อีกด้วย

Study Space สำหรับนักศึกษา

สำหรับผมแล้วการได้มีโอกาสเรียนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ก็ใช่ว่าจะดีไปเสียทั้งหมด ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกัน

ข้อดีหลักๆ ที่เห็นได้ชัดคือ

  1. เรื่องของภาษาที่ผมสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษทั้งเขียน พูด อ่านได้คล่องแคล่วและเข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้น
  2. ได้เรื่องการปรับตัวในการใช้ชีวิตทั้งเรียน ทำงาน และการอยู่ร่วมกับกลุ่มคนใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายเชื้อชาติและแตกต่างทางวัฒนธรรม
  3. ได้เรียนรู้วิชาที่ในมหาวิทยาลัยของไทยอาจยังไม่เปิดการเรียนการสอน และที่สำคัญ…
  4. ทำให้ผมเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในตัวเองกับหลายๆ เรื่องอันเนื่องมาจากการที่ต้องตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองในต่างแดน

ส่วนข้อเสียหลักๆ เลยก็คือ

  1. ทำให้ผมมี connection  กับเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนใหม่ หรือคนรู้จักที่เมืองไทยน้อยมาก เพราะไปเรียนตั้งแต่ High School และนอกจากนี้
  2. การเรียนต่อต่างประเทศมีค่าครองชีพและค่าเล่าเรียนที่ค่อนข้างสูงมากครับ

สุดท้ายนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าการที่มีโอกาสได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่ากับเงินและเวลาที่เสียไป ก็ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่มีคุณค่าของชีวิต ที่เราสามารถนำไปต่อยอดการทำงานและการใช้ชีวิตในอนาคตได้ครับ

เกี่ยวกับผู้เขียน

ชยุต ปั้นสกุลไชย

นักศึกษาปริญญาตรีที่ The University of Auckland ประเทศนิวซีแลนด์ หลงรักงานเขียนที่บอกเล่าเรื่องราวของการเรียนรู้โลกกว้างและการเดินทาง เพื่อพบปะกับผู้คนในหลากหลายวัฒนธรรมและความแตกต่างทางสังคม

คุณอาจจะชอบบทความเหล่านี้